บริษัทฯและบริษัทย่อย (งบการเงินรวม) มีผลการดำเนินงานกำไร (ขาดทุน) สุทธิสำหรับปี 2567, 2566 และ 2565 จำนวน 241.92 ล้านบาท, 40.27 ล้านบาท และ (22.13) ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างงวดปี 2567 กับ ปี 2566 และ 2565 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานกำไรเพิ่มขึ้น 201.66 ล้านบาท และ 264.05 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัทฯมีกำไรหลังปรับปรุง EBITDA ในปี 2567, 2566 และ 2565 เท่ากับ 376.60 ล้านบาท, 159.19 ล้านบาท และ 66.03 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อเทียบปี 2567 กับปี 2566 และ 2565 กำไรหลังปรับปรุง EBITDA เพิ่มขึ้นเท่ากับ 217.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 136.58 และ เพิ่มขึ้นเท่ากับ 310.57 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 470.35 ตามลำดับ
เนื่องจากในปี 2567 ราคาขายไบโอดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ตามแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการขายไบโอดีเซลปรับตัวลดลง เนื่องจาก ภาครัฐปรับนโยบายลดส่วนผสมไบโอดีเซลลงจาก B7 เป็น B5 ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน้ำมันพืชเพื่อบริโภค และราคาที่สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบปี 2566 ที่ใช้สัดส่วน B7 ตลอดทั้งปี และยังมีการเพิ่มกำลังการผลิตของผู้ผลิตรายเดิมในช่วงต้นปี 2567 ทำให้มีการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2567 ราคา CPO ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ราคา 41.00 -45.00 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากความกังวลด้านอุปทานที่ตึงตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 หลังจากที่สต็อกน้ำมันปาล์มของประเทศอินโดนีเซียลงไปแตะระดับต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีต่อเนื่องมาในไตรมาส 4 ปี 2567 ส่งผลให้ราคาCPOของประเทศไทยปรับราคาเพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลกประกอบกับผลผลิตในประเทศที่อยู่ในช่วงขาลงของฤดูกาลและฝนที่ตก หนักต่อเนื่องโดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายนและต้นเดือนธันวาคม ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ในภาคใต้เป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยวและมีปริมาณสต๊อกคงเหลือในประเทศ และมีปริมาณสต๊อกคงเหลือของประเทศอยู่ที่ 0.20 ล้านตัน ลดลงจากระดับ 0.28 ล้านตัน จากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ปริมาณขายน้ำมันไบโอดีเซลปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาล ถึงแม้ว่าภาครัฐได้ออกมาตรการขอความร่วมมือให้งดการส่งออกน้ำมันปาล์มชั่วคราว รวมถึงออกนโยบายปรับลดอัตราสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B7 เป็น B5 เพื่อชะลอการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคา CPO ในประเทศก็ตาม ส่งผลให้บริษัทฯกลับมารับรู้ผลกำไรอีกครั้ง